โรคเบาหวาน (Diabetes)
โรคเบาหวาน (Diabetes)
-คนไทยประมาณ 2.4 ล้านคน เป็นโรคเบาหวาน
-คนไทยตายประมาณ 40,000 คน/ปี จากโรคเบาหวาน
-คนอเมริกา 16 ล้านคน เป็นโรคเบาหวาน (พบใหม่ปีละ 400,000 คน)
-คนอเมริกาตายจากโรคเบาหวาน 250,000 คน/ปี
-คนอเมริกาถูกตัดขาปีละ 12,000-16,000 คน
-คนอเมริกาไตวายจากโรคเบาหวาน 100,000 คน/ปี
เนื่องจากเบาหวานเป็นโรคที่ระบาดไปทั่ว โดยเฉพาะเมื่อมีการพัฒนาไปสู่การเป็นประเทศอุตสาหกรรม ที่จริงคือเปลี่ยนวิถีชีวิตไปสู่การบริโภคนิยมนั่นเอง ในประเทศเราอัตราการเกิดโรคเบาหวานในประชาชนได้เพิ่มขึ้นอย่างเด่นชัด ตัวโรคเบาหวานเองเป็นปัญหาใหญ่อยู่แล้ว แต่เมื่อรวมโรคที่เป็นผลมาจากเบาหวานแล้ว เช่นโรคไต โรคหัวใจและหลอดเลือด และตาบอด โรคแทรกซ้อนเหล่านี้เป็นสาเหตุนำที่ทำให้ผู้ป่วยต้องถูกตัดขา และทำให้ตาบอดในผู้สูงอายุมากสุด สี่ในห้าของผู้ป่วยเบาหวานจะเสียชีวิตลงไม่ใช่จากตัวเบาหวานเอง แต่จากโรคหัวใจและหลอดเลือดที่แทรกซ้อนจากเบาหวาน
โรคเบาหวาน เป็นภาวะที่ร่างกายไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติได้ โดยปกติเมื่อเรารับประทานอาหาร แป้งและน้ำตาลจะถูกย่อยเป็นกลูโคสแล้วถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด ต่อจากนั้นอินซูลินจะช่วยนำกลูโคสจากเลือดเข้าไปสู่เซลล์กล้ามเนื้อและเซลล์ไขมัน เพื่อนำไปใช้เป็นพลังงานหรือเก็บเป็นพลังงานสำรอง
อินซูลิน (Insulin) เป็นฮอร์โมนที่ผลิตจากตับอ่อน ในกรณีผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 ซึ่งพบมากในเด็กและวัยรุ่น ตับอ่อนไม่สามารถผลิตอินซูลินได้หรือผลิตได้ไม่เพียงพอที่จะเร่งการนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานได้ จึงทำให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ผู้ป่วยเบาหวานกลุ่มนี้ต้องได้รับการรักษาด้วยอินซูลิน รวมทั้งการตรวจวัดระดับน้ำตาลจากการเจาเลือดที่ปลายนิ้วอย่างสม่ำเสมอ ดูแลในเรื่องอาหารและการออกกำลังกาย เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ให้สูงจนเกินไปซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการควบคุมโรคเบาหวานและป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อน
อาการของโรคเบาหวาน
-ปัสสาวะบ่อย เนื่องจากน้ำตาลในเลือดสูง มีการสูญเสียน้ำตาลทางไต ซึ่งจะชักนำให้มีการเสียน้ำทางปัสสาวะมากขึ้น
- กระหายน้ำ เนื่องจากการขาดน้ำ
- หิวบ่อยและทานเก่งขึ้น เนื่องจากร่างกายต้องการพลังงานเพิ่มขึ้น
- น้ำหนักลด เนื่องจากการขาดอินซูลิน เซลล์ของร่างกายไม่สามารถใช้น้ำตาลเป็นพลังงานได้ ประกอบกับมีการสลายไขมันเพิ่มขึ้นในร่างกาย การสลายไขมันทำให้มีการคั่งของสารคีโตน เกิดภาวะกรดคั่งในโรคเบาหวาน
- ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน
- พฤติกรรมเปลี่ยน เช่น หงุดหงิดง่าย โมโห งอแง
- อาการอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น ติดเชื้อราตามรอยฟันหรือบริเวณอวัยวะเพศ มีอาการคันตามร่มผ้า
- ตาพร่ามัว หมดสติ ไม่รู้สึกตัว
ชนิดของโรคเบาหวาน
1. เบาหวานชนิดที่ 1
เบาหวานชนิดพึ่งอินซูลิน เป็นเบาหวานที่พบมากในเด็กและวัยรุ่น แต่ก็สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกกลุ่มอายุ เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันทำลายตัวเอง (Autoimmune Disease) ไปทำลายเซลล์ต่อมที่ผลิตอินซุลินของตัวเองที่ตับอ่อน ทำให้ไม่สามารถผลิตอินซุลินได้ เกิดภาวะระดับน้ำตาลในเลือดสูง จึงจำเป็นต้องได้รับฮอร์โมนอินซูลินจากภายนอก เพราะการขาวอินซูลินจะทำให้เกิดการเจ็บป่วยที่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ คือภาวะกรดคีโตนคั่งในโรคเบาหวาน
มีหลักฐานยืนยันว่า มีการพบโรคเบาหวานแบบพึ่งอินซุลินในเด็กเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แม้จะยังไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน แต่ผู้เชี่ยวชาญบางกลุ่มเชื่อว่า ปัจจัยทางสังคมบางประการ เช่น การไม่เลี้ยงลูกด้วยนมมารดา จนทำให้เด็กขาดภูมิต้านทานบางอย่าง อาจกระตุ้นความเสี่ยงทางกรรมพันธ์ที่มีอยู่แล้วได้ โรคเบาหวานในเด็กเป็นปัญหาร้ายแรงมาก เพราะยิ่งเด็กป่วยเป็นโรคเบาหวานนานเท่าใด ก็ยิ่งเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนที่จะเกิดตามมาภายหลังมากขึ้นเรื่อย ๆ เท่านั้น
การรักษาเบาหวานชนิดที่ 1
จำเป็นต้องได้รับการรักษาโดยการฉีดอินซูลินตลอดชีวิต รวมทั้งควบคุมประเภทของอาหารและต้องมีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องสมดุลกัน เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ ในกรณีภาวะกรดคีโตนคั่งในโรคเบาหวานต้องได้รับการรักษาด้วยการให้สารน้ำ เกลือแร่ และอินซูลิน พร้อมกับการติดตามผลการรักษาอย่างใกล้ชิด เพราะมีอันตรายสูง
2. เบาหวานชนิดที่ 2
พบได้บ่อยในผู้ใหญ่ หรือเด็กวัยรุ่นบางคน เป็นชนิดที่เกิดมากในปัจจุบัน มากกว่า 90% ของโรคเบาหวานจะเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรคเบาหวานที่เกิดในผู้ใหญ่ มักเริ่มเกิดในวัย 40-50 ปี เป็นเพราะเมื่อมีอายุมากขึ้น ประสิทธิภาพในการผลิตอินซุลินลดลง นอกจากนี้ ยังเชื่อกันว่าภาวะทางพันธุกรรมนอกจากพฤติกรรมการบริโภคที่กล่าวแล้วเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย นั่นคือพันธุกรรมที่ทำให้ร่างกายมีประสิทธิภาพผลิตอินซุลินได้น้อยกว่าปกติ โดยเฉพาะเมื่อมีอายุมากขึ้น อีกประการหนึ่ง หากเป็นคนอ้วนอยู่ด้วย เซลล์ไขมันในร่างกาย (ซึ่งมีมากในคนอ้วน) จะตอบสนองต่ออินซุลินได้น้อยกว่า ทำให้ต่อมในตับอ่อนต้องผลิตอินซุลินในปริมาณเพิ่มมากขึ้นเพื่อชดเชย ผลสุดท้ายจากปัจจัยต่าง ๆ พฤติกรรมการดำเนินชีวิต รวมทั้งยังรับประทานอาหาร ตับอ่อนไม่สามารถผลิตอินซุลินได้มากพ่อต่อความต้านหรือดื้อต่ออินซุลินของเซลล์ไขมันได้ น้ำตาลในเลือดจะมีระดับสูง
ซินโดรมเอกซ์ - ภาวะการดื้อต่อต้านอินซูลิน (Syndrome X-Insulin Resistance)
สังคมปัจจุบันที่นิยมรับประทานอาหารรสหวาน อาหารคาร์โบไฮเดรตสูง โดยเฉพาะที่เป็นเชิงเดี่ยว แป้งขาวแต่งละเอียด น้ำตาลเชิงเดี่ยว น้ำอัดลม ไอศครีม ขนมหวานต่าง ๆ หรือแม้แต่ข้าวขาว แป้งขาว ขนมปังและมันเทศ ซึ่งจัดเป็นอาหารในกลุ่มที่ดูดซึมเข้ากระแสเลือดเร็ว เมื่อเทียบกับพืช ผัก ผลไม้ที่มีรสหวานน้อยและมีใยไฟเบอร์ อาหารพวกนี้ที่กล่าวข้างต้นจะถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือดได้เร็ว ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะไปกระตุ้นต่อมในตับอ่อนให้หลั่งอินซูลินออกมาเพื่อลดระดับน้ำตาลในเลือดลง เพื่อรักษาระดับปกติ แต่ระดับลดลงมากกว่าปกติ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำเกินไป ร่างกายต้องการน้ำตาล รู้สึกหิว จึงรับประทานอีกเป็นวงจรซ้ำ ๆ อยู่เรื่อย ๆ ในช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งอาจมีความบกพร่องทางพันธุกรรมเป็นปัจจัยร่วม อินซุลินจะถูกผลิตมากเกิน และเป็นการกระตุ้นให้ต่อมผลิตอินซุลินทำงานมากเกินไป เซลล์ต่าง ๆ ของร่างกายจะมีความไวต่ออินซุลินลดน้อยลงเรื่อย ๆ เพื่อที่ร่างกายจะควบคุมระดับน้ำตาลได้ ต่อมจะต้องผลิตอินซุลินลดน้อยลงเรื่อย ๆ เพื่อที่ร่างกายจะควบคุมระดับน้ำตาลได้ ต่อมจะต้องผลิตอินซุลินให้มากขึ้นเรื่อย ๆ ภาวะของร่างกายที่เป็นไปเช่นนี้ เรียกว่า ซินโดรมเอกซ์ (Syndrome X) ซึ่งก็คือภาวะดื้อต่ออินซุลิน และเป็นภาวะที่ทำให้มีอินซุลินในเลือดสูง
การรักษาเบาหวานชนิดที่ 2
สามารถรักษาเบื้องต้นได้โดยการควบคุมน้ำหนัก การควบคุมอาหาร และการออกกำลังกาย ในบางรายอาจจำเป็นต้องรับประทานยาลดระดับน้ำตาล และบางกรณีอาจต้องได้รับการฉีดอินซูลินเพื่อควบคุมโรค
ผลิตภัณฑ์แนะนำ
ทรานเฟอร์ แฟกเตอร์ ไตร-แฟกเตอร์(ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานเป็นปกติ + เบาหวาน Type I)
ทรานเฟอร์ แฟกเตอร์ กลูโคช (เบาหวาน Type II, ปรับสมดุลย์ภูมิคุ้มกัน, ลดระดับน้ำตาลในเลือด)
ทรานเฟอร์ แฟกเตอร์ รีนิวออล (เจลทาภายนอก + แผลเบาหวาน)