วิตามินอี (Vitamin E)
ลดความเสี่ยงจากโรคหัวใจ
ลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็ง
กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน
ชื่อทางเคมี
โทโคเฟอรอล (Tocopherol), แอลฟา เบตา แกมมา และเดลตา
ค่า RDA สำหรับผู้ใหญ่
10 มิลลิกรัม
แหล่งวิตามินอีที่สำคัญ (ปริมาณเป็นหน่วยมิลลิกรัมต่ออาหาร 100 กรัม)
น้ำมันจากจมูกข้าวสาลี 137 มิลลิกรัม/100 กรัม, น้ำมันเมล็ดทานตะวัน 49 มิลลิกรัม/100 กรัม, เมล็ดทานตะวัน 37 มิลลิกรัม/100 กรัม, เฮเซลนัต 25 มิลลิกรัม/100 กรัม, อัลมอนด์ 24 มิลลิกรัม/100 กรัม, เมล็ดสน 14 มิลลิกรัม/100 กรัม, มันเทศ 4 มิลลิกรัม/100 กรัม, อะโวกาโด 4 มิลลิกรัม/100 กรัม, มูสลี 3 มิลลิกรัม/100 กรัม, ปวยเล้ง 2 มิลลิกรัม/100 กรัม
วิตามินอี ออกฤทธิ์อย่างไร
วิตามินอีเป็นวิตามินที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยหยุดฤทธิ์ทำลายล้างของอนุมูลอิสระในร่างกาย ยังมีความจำเป็นอย่างมากในการช่วยให้ผนังเซลล์อยู่ในภาวะปกติ ช่วยบำรุงสุขภาพผิวหนัง ประสาท กล้ามเนื้อ เม็ดเลือดแดง การไหลเวียนของโลหิตทั่วร่างกายและหัวใจ วิตามินยังช่วยในการทำงานของวิตามินเอในร่างกายและต่างจากวิตามินที่ละลายในน้ำมันตัวอื่นๆ วิตามินอีจะสะสมไว้ในร่างกายในช่วงเวลาสั้นๆ แปลว่าร่างกายจำเป็นต้องได้รับวิตามินอีสม่ำเสมออย่างยิ่ง
ตัวช่วยการดูดซึม
วิตามินซีและซีลีเนียมช่วยให้วิตามินอีทำงานได้ดีขึ้นในร่างกาย
ตัวยับยั้งการดูดซึม
ยาคอเลสไทรามีนซึ่งใช้ลดระดับคอเลสเทอรอลจะยับยั้งการดูดซึมของวิตามินอี การกินธาตุเหล็ก ทองแดง และแมงกานีสในปริมาณสูง เหล่านี้ล้วนลดระดับวิตามินอีในร่างกาย เช่นเดียวกับไขมันแปลงสภาพซึ่งเป็นส่วนผสมของมาการีนและผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูปบางชนิด มลภาวะเป็นพิษทางอากาศ ยาเม็ดคุมกำเนิดล้วนมีฤทธิ์ลดระดับวิตามินอีในกระแสเลือดเช่นเดียวกัน
การกินวิตามินอี
ค่าอาร์ดีเอของวิตามินอี (10 มิลลิกรัม) เท่ากับการกินเมล็ดทานตะวัน 27 กรัม รูปแบบทางเคมีที่มีประสิทธิภาพสูงสุดของวิตามินอี ดีแอลฟาโทโคเฟอรอล หลีกเลี่ยงการใช้ดีแอลฟาโทโคเฟอรอล ซึ่งไม่มีประสิทธิภาพมากนัก ขนาดปลอดภัยสูงสุดอยู่ที่ 800 มิลลิกรัม/วัน ซึ่งไม่พบผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายทั้งในระยะสั้นและระยะยาว นักโภชนาการสายกลางแนะนำขนาด 100-1,000 มิลลิกรัม/วัน สำหรับผู้ใหญ่เพื่อประโยชน์ในการรักษาโรค
การกินผลิตภัณฑ์เสริมร่วมกัน
ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมระหว่างซีลีเนียม 25 ไมโครกรัม กับวิตามินอี 200 มิลลิกรัม จะช่วยเพิ่มฤทธิ์ของวิตามินอีได้ดีขึ้น ข้อควรระวังคือ อย่ากินผลิตภัณฑ์เสริมวิตามินอีกับธาตุเหล็กพร้อมกัน จงกินห่างกันอย่างน้อย 8 ชั่วโมงเพื่อป้องกันไม่ให้วิตามินอีถูกทำลาย
ข้อควรระวัง
ในกรณีของผู้ที่อยู่ในภาวะขาดวิตามินเค การกินวิตามินอีในปริมาณสูงจะรบกวนขบวนการที่ทำให้เลือดแข็งตัว สำหรับผู้ที่เป็นโรคความดันสูง โรคหัวใจ รูมาติก หรือโรคกล้ามเนื้อหัวใจ หากประสงค์จะกินวิตามินอีในปริมาณสูง ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิดเท่านั้น
ประโยชน์ของวิตามินอีในการรักษาโรค
- โรคหัวใจ ผลิตภัณฑ์เสริมวิตามินอีในขนาด 80-100 กรัม อาจช่วยลดความเสี่ยงจากโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมองและอาการปวดเค้นแองไจนา โดยการลดการเกิดโรคท่อเลือดแดงและหลอดเลือดแดงแข็ง และก้อนลิ่มไขมันที่มาขัดขวางที่เกาะบนผนังหลอดเลือดแดง
- โรคมะเร็ง วิตามินอีในปริมาณเหมาะสมอาจช่วยป้องกันโรคมะเร็งบางชนิด โดยเฉพาะมะเร็งปอดและมะเร็งคอมดลูก
- โรคต้อกระจก ผลิตภัณฑ์เสริมวิตามินอีอาจลดอัตราการป่วยด้วยโรคต้อกระจก
- โรคติดเชื้อ ผลิตภัณฑ์เสริมวิตามินอีอาจกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันให้ต่อสู้กับการติดเชื้อ
- โรคกระดูกและข้ออักเสบ วิตามินอีอาจช่วยบรรเทาปวดที่เกิดจากโรคกระดูกและข้ออักเสบ อาจเป็นเพราะฤทธิ์ต้านอักเสบของวิตามินอี
- ภาวะเป็นหมันชาย วิตามินอีในขนาด 600 มิลลิกรัมทุกวัน สามารถเพิ่มจำนวนตัวอสุจิและช่วยลดอัตราการเกิดหมันได้
ผลิตภัณฑ์แนะนำ
บีซีวี (BCV) : บำรุงกล้ามเนื่้อหัวใจ, ลดไขมันหลอดเลือด, ช่วยให้หลอดเลือดยืดหยุ่น