ภัยเงียบกระดูกพรุนอันตรายไร้สัญญาณเตือน แนะเสริมแคลเซียมลดเสี่ยงโรค

ภัยเงียบกระดูกพรุนอันตรายไร้สัญญาณเตือน

แนะเสริมแคลเซียมลดเสี่ยงโรค 

         อธิบดีกรมการแพทย์ เผย เนื้อกระดูกของคนเราบางลงทุกปีตามอายุที่เพิ่มขึ้น  หากละเลยไม่ดูแลสุขภาพอาจทำให้เกิดภาวะกระดูกพรุน  ซึ่งจะทำให้เสียค่าใช้จ่ายในการรักษาค่อนข้างสูงและที่สำคัญมักจะไม่สามารถรักษาให้กลับคืนสู่สภาพเดิมได้  โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุ, ผู้หญิงที่ผ่าตัดรังไข่ออกทั้ง 2 ข้าง และผู้หญิงวัยหลังหมดประจำเดือนมีความเสี่ยงเกิดโรคสูง   แนะรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูงและออกกำลังกายสม่ำเสมอจะสามารถป้องกันการเกิดโรคดังกล่าวได้

       นายแพทย์สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า กระดูกถือเป็นอวัยวะที่แข็งที่สุดในร่างกาย  คนส่วนใหญ่จึงละเลยการดูแลสุขภาพของกระดูก  ส่งผลให้ในแต่ละปีมีผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นปัญหาสาธารณสุขระดับโลก  องค์การอนามัยโลกรายงานว่าสถิติผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนทั่วโลกเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากและมีอายุเฉลี่ยเริ่มน้อยลงเรื่อยๆ มูลนิธิโรคกระดูกพรุนนานาชาติ (International Osteoporosis Foundation - IOF)  จึงได้กำหนดให้วันที่ 20 ตุลาคม ของทุกปีเป็นวันโรคกระดูกพรุนโลก (World Osteoporosis Day - WOD)

     โรคกระดูกพรุน คือ ภาวะที่เนื้อกระดูกผุกร่อนไปจากปกติ เนื้อกระดูกลดลง  โครงกระดูกซึ่งเคยแข็งแกร่งจะเปลี่ยนเป็นโครงที่ผุกร่อนพร้อมจะแตกหักได้ทุกเมื่อ  เพียงแค่ยกของหนักหรือกระทบกระแทกเพียงเล็กน้อยก็เกิดการแตกหักได้  ส่วนใหญ่มักเกิดบริเวณกระดูกข้อสะโพก, กระดูกสันหลัง และกระดูกบริเวณข้อมือ เป็นต้น  และหากกระดูกบริเวณข้อสะโพกหักจะเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยอย่างมาก  เพราะพบว่าประมาณร้อยละ 5 ถึงร้อยละ 20 ของผู้ป่วยจะเสียชีวิตภายใน 1 ปี และมากกว่าร้อยละ 50 ของผู้ป่วยที่มีชีวิตรอดจะไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ จึงจำเป็นต้องมีผู้ดูแล   สาเหตุของโรคกระดูกพรุนเกิดจากกระบวนการเสริมสร้างกระดูกลดลงและเนื้อเยื่อเสื่อมสลายในช่วงอายุ 30 ปีขึ้นไป  ตามปกติเพศหญิงจะมีมวลกระดูกน้อยกว่าเพศชาย  เมื่อถึงวัยหมดประจำเดือนเพศหญิงจะมีอัตราการสูญเสียมากกว่าการสร้างกระดูก  จึงทำให้เกิดภาวะกระดูกพรุน  โรคกระดูกพรุนมักไม่มีสัญญาณหรืออาการเตือนภัยใดๆ อาจมีแค่ปวดเมื่อย คนทั่วไปจึงไม่ทราบว่าตนเองเป็นโรคกระดูกพรุน จนกว่าจะเข้ารับการรักษากระดูกจากอุบัติเหตุเพียงเล็กน้อยหรือมีอาการปวดหลัง, หลังโก่งค่อมหรือโค้งงอ,  ตัวเตี้ยจากการยุบตัวลงของกระดูกสันหลัง

   ดังนั้น  ควรป้องกันโดยการสะสมเนื้อกระดูกให้มากที่สุดในช่วงวัยรุ่น  พยายามรักษาปริมาณเนื้อกระดูกให้คงเดิมมากที่สุดในวัยก่อนหมดประจำเดือน  และชะลอการถดถอยของเนื้อกระดูกเพื่อลดความเสี่ยงการเกิดกระดูกหักในวัยหลังหมดประจำเดือน อธิบดีกรมการแพทย์ แนะว่า ควรรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูงให้ได้ปริมาณที่ร่างกายต้องการ คือ ประมาณ 800 - 1,200 มิลลิกรัมต่อวัน เพื่อช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กระดูกและฟัน เช่น นม เนยแข็ง ผลิตภัณฑ์จากนม ปลาเล็กปลาน้อยพร้อมกระดูก กุ้งแห้ง กุ้งฝอย ถั่วแดง งาดำ อาหารทะเล ผักใบเขียวทุกชนิด ดื่มน้ำที่มีสารฟลูออไรด์ หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มสุรา ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมสารแคลเซียมด้วยวิตามินดีในรูปของอาหารหรือยาและการได้รับแสงแดดจะสามารถช่วยเพิ่มการสังเคราะห์วิตามินดีทางผิวหนังได้ สำหรับอาหารที่มีวิตามินดีสูง เช่น นม น้ำมันตับปลา เนยแข็ง เนย ไข่ และตับ เป็นต้น

 

แหล่งข่าวโดย » ฝ่ายประชาสัมพันธ์ กรมการแพทย์  
[ตุลาคม ศุกร์ 16,พ.ศ 2558 14:45:35]

 

     ผลิตภัณฑ์แนะนำ

    ซีเอ็ม (CM) : แคลเซียมอะมิโนแอซิดคีเลต + แมกนีเซียมอะมิโนแอซิดคีเลต + สังกะสี + วิตามินดี + โบรอน ช่วยบำรุงกระดูก ป้องกันโรคกระดูกพรุน เสริมระบบกล้ามเนื้อหัวใจ, กล้ามเนื้อ, ระบบประสาท

ปิดปรับปรุงระบบความคิดเห็นชั่วคราว ขออภัยในความไม่สะดวก หากลูกค้าต้องการเปิดใช้งานระบบ กรุณาติดต่อ 02-8323222 กด 2