น้ำมันปลา (Fish Oil)
น้ำมันปลาลดความดันโลหิตสูง, ลดไขมันในเลือดสูง และหลอดเลือดหัวใจตีบ
บำรุงสมอง, ลดความเสี่ยงอัลไซเมอร์, ต้านอนุมูลอิสระ, ต้านการอักเสบ
ช่วยให้โรคเบาหวานดีขึ้น, ป้องกันมะเร็งตับอ่อน
นักวิทยาศาสตร์เริ่มสนใจถึงประโยชน์ของน้ำมันปลา (Fish Oil) หลังจากการสำรวจในปี คศ.1973 พบว่าชาวเอสกิโมบนเกาะกรีนแลนด์ (Greenland Eskimos) มีอัตราการเกิดโรคหัวใจและข้ออักเสบต่ำมากทั้งๆ ที่เป็นกลุ่มชนที่บริโภคอาหารประเภทไขมันสูง โดยแหล่งอาหารคือปลาทะเลและแมวน้ำ ขณะที่คณะแพทย์เพนมาร์กรายงานผลการสำรวจออกมานั้น วงการวิทยาศาสตร์ยังไม่ทราบว่าทำไมและเพราะเหตุใด นอกจากนี้คำว่าโรคหัวใจ (Heart Disease) ไม่มีในภาษาท้องถิ่นของชาวเอสกิโมบนเกาะกรีนแลนด์อีกด้วย
ผลการวิจัยพบว่า ชาวเอสกิโมรับประทานปลา ซึ่งในปลามีสารประเภทน้ำมันคุณภาพดีที่เรียกว่า น้ำมันปลา
น้ำมันปลา (Fish Oil) จัดอยู่ในสารอาหารประเภทไขมัน มีลักษณะเป็นของเหลวใส มีสีเหลืองอ่อน ผลการศึกษาทางเคมีวิทยาต่อมาจึงพบว่า ไขมันจากปลาหรือเรียกง่ายๆ ว่า น้ำมันปลา ประกอบด้วยกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน 2 ตัว ชื่อ EPA : Elcosapentanoic Acid (ไอโคซาเพนทาอีโนอิก แอซิด) และ DHA : Docosahexanoic Acid (โดซาเฮกซาอีโนอิก แอซิด) น้ำมันทั้ง 2 ตัวเป็นตัวการสำคัญที่ช่วยป้องกันโรคหัวใจให้กับชาวเอสกิโมที่กินสัตว์ทะเลเป็นอาหารหลัก จึงเรียกกรดไขมัน EPA และ DHA รวมกันว่า น้ำมันปลา (Fish Oil) และปลาที่จะให้ทั้ง EPA และ DHA ในปริมาณที่สูงก็คือ ปลาทะเลบริเวณน้ำเย็นๆ (Cold Water Fish)
ประโยชน์ของน้ำมันปลาที่รู้จักกันทั่วไป
Pepping และ Joseph รายงาน ผลการวิจัยเมื่อ คศ.1999 ในวารสาร Journal of Health-System Pharmacy ว่า น้ำมันปลา (EPA และ DHA) มีบทบาทสำคัญในการป้องกันหลอดเลือดโดยเฉพาะที่ไปเลี้ยงในหัวใจ ไม่ให้มีการอุดตัน (Atherosclerosis), โรคหัวใจวาย, โรคซึมเศร้า, โรคมะเร็ง และในการศึกษาทางด้านโภชนาการบำบัดพบว่า กรดไขมันไม่อิ่มตัวในน้ำมันปลาให้ประโยชน์ในการนำไปร่วมใช้รักษาโรคได้หลายชนิดอีกด้วย เช่น ข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis), โรคเบาหวาน (Diabetes Melitus), โรคลำไส้ใหญ่อักเสบ (Colitis) ฯลฯ (จาก American Journal of Clinical Nutrition Vol.71 มกราคม พศ. 2543 เรื่อง Importance of n-3 Fatty Acids in Health and Disease โดย Connor และ William)
น้ำมันปลาเป็นแหล่งของกรดไขมันที่จำเป็นที่ร่างกายสร้างเองไม่ได้ที่เรียกว่า กรดไขมันโอเมก้า-3 (Omega-3) ซึ่งโอเมก้า-3 ที่พบในน้้ำมันปลามี 2 ชนิดคือ
1. EPA : Elcosapentaenoic Acid (ไอโคซาเพนทาอีโนอิก แอซิด) เป็นกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่มีสายของคาร์บอนยาว 20 ตัว และมีพันธะคู่ 5 ตำแหน่ง การเขียนสัญลักษณ์สากลจะใช้ C20: 5 n3 การแปลความหมาย C20 หมายความว่า มีคาร์บอนจำนวน 20 ตัว 5 หมายความว่ามีพันธะคู่ 5 ตำแหน่ง ซึ่งพันธะคู่นี่เองจะทำให้ไขมันนั้นไม่อิ่มตัว จึงเป็นไขมันที่ดี ไม่เป็นไข ยิ่งมีพันธะคู่มากเท่าไร ยิ่งดีมากเท่านั้น หากคาร์บอนมากกว่า 20 ตัวก็จะยิ่งดีต่อร่างกายในการลดความเสี่ยงของโรคระบบหลอดเลือดและหัวใจ และ n3 หมายความว่า เป็นกรดไขมันโอเมก้า-3
EPA มีคุณสมบัติในการลดไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือด, ลดคอเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL Cholesterol) ในเลือด, ป้องกันการอุดตันของหลอดเลือด, ป้องกันการเกาะตัวของเกล็ดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคหลอดเลือดสมองตีบตันและหัวใจขาดเลือด จึงลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ
2. DHA : Docosahexaenoic Acid (โคซาเฮกซาอีโนอิก แอซิด) เป็นกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่มีสายของคาร์บอนยาว 22 ตัว และมีพันธะคู่ 6 ตำแหน่ง การเขียนสัญลักษณ์สากลจะใช้ C22: 6 n3 การแปลความหมาย C22 หมายความว่า มีคาร์บอนจำนวน 22 ตัว 6 หมายความว่ามีพันธะคู่ 6 ตำแหน่ง จะเห็นได้ว่า DHA มีพันธะคู่มากกว่า EPA ดังนั้น DHA จึงมีประสิทธิภาพดีกว่า EPA อีกทั้ง DHA มีจำนวนสายคาร์บอนมากกว่า EPA 2ตัว ก็ยิ่งทำให้ DHA มีประสิทธิภาพสูงกว่า EPA
DHA เป็นกรดไขมันที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของสมองแลดวงตา ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการทางสมอง, การเรียนรู้ และความจำ การศึกษาทางคลีนิคมากมายพบว่า DHA ช่วยในการพัฒนาสมองและการมองเห็น แนะนำให้คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์และให้นมบุตรควรได้รับ DHA 200-300 มิลลิกรัม/วัน เนื่องด้วย DHA มีประโยชน์ต่อพัฒนาการทางสมอง โดยเฉพาะช่วงที่กำลังสร้างเซลล์สมองในทารกและในเด็ก
โอเมก้า-3 ทั้ง EPA และ DHA เป็นกรดไขมันที่จำเป็น ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์ได้ จำเป็นต้องได้รับจากการบริโภคอาหารเท่านั้น โอเมก้า-3 มีมากในปลาทะเล DHA พบมากในปลาแซลมอน อันที่จริงแล้วปลาแซลมอนไม่สามารถสร้าง DHA ได้ แต่อาศัยการที่ปลากินสาหร่ายซึ่งสร้าง DHA เข้าไปแล้ว DHA นั้นก็สะสมอยู่ในชั้นไขมันของปลา ปลาแต่ละชนิด แต่ละมหาสมุทรจะมีปริมาณโอเมก้า-3 แตกต่างกัน การวิจัยปลาจากแหล่งมหาสมุทรต่างๆ พบว่าปลาจากทะเลในเขตหนาว เช่น แอตแลนติกจะมีปริมาณโอเมก้า-3 สูงที่สุด เพราะอุณหภูมิที่ต่ำทำให้ปลาสะสมไขมันมาก และโอเมก้า-3 ก็เป็นสารที่ละลายในไขมัน ส่วนปลาจากทะเลไทยมีปริมาณโอเมก้า-3 ต่ำมาก เพราะเมืองไทยเป็นเมืองร้อน ปลาจะไม่สะสมไขมันหนาเหมือนปลาเมืองหนาว ส่วนชนิดของปลา พบว่าปลาแซลมอนมีปริมาณโอเมก้า-3 สูงที่สุด รองๆ มาคือ ปลาแมกเคอเรลที่นิยมนำมาทำปลากระป๋อง ปลาทูน่า และปลาซาร์ดี ตามลำดับ
การทดสอบทางคลีนิค
โอเมก้า-3 มีส่วนช่วยลดความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง และหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจตีบ เมื่อรับประทานน้ำมันปลา 5.6 กรัม/วัน สามารถลดความดันโลหิตได้ 2.3-3.4 มิลลิเมตรปรอท
การทดสอบทางคลีนิกพบว่าการรับประทานน้ำมันปลา 1.3 กรัม นาน 4 สัปดาห์ สามารถลดไตรกลีเซอไรด์และเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดดีได้อย่างมีนัยสำคัญ และการทดสอบทางคลีนิกพบว่า การรับประทาน EPA 3.25 กรัม และ/หรือ DHA สามารถลดไตรกลีเซอไรด์ลง 0.34 มิลิโมล/ลิตอย่างมีนัยสำคัญ
โอเมก้า-3 นอกจากจะสำคัญต่อหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดในสมองแล้ว ยังช่วยให้โรคเบาหวานดีขึ้น และทำให้อาการของโรคอัลไซเมอร์ดีขึ้น จากการศึกษาพบว่า ผู้สูงอายุและสมองของผู้ป่วยอัลไซเมอร์จะมี EPA และ DHA ต่ำ การรับประทานโอเมก้า-3 ที่มี DHA จึงช่วยลดความเสี่ยงของโรคอัลไซเมอร์, ต้านอนุมูลอิสระ และต้านการอักเสบ ซึ่งเป็นผลที่เกิดจากอัลไซเมอร์ ดังนั้นโอเมก้า-3 จึงมีประโยชน์ต่อทั้งสมองและหัวใจ และกรดไขมันโอเมก้า-3 ยังช่วยป้องกันมะเร็งตับอ่อนได้
การศึกษาเชิงระบาดวิทยากับประชากรกลุ่มใหญ่ซึ่งเป็นผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือดจำนวน 15,806 คน จาก 11 งานวิจัย โดยแบ่งกลุ่มแบบสุ่มเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่ง 7,951 คนได้รับประทานโอเมก้า-3 ส่วนอีกกลุ่ม 7,855 คนไม่ได้รับประทานโอเมก้า-3 เสริม พบว่ากลุ่มที่ได้รับโอเมก้า-3 สามารถลดการเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ 20% เทียบกับอีกกลุ่ม จากการทดลองนี้สมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกาจึงแนะนำให้ผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือดรับประทานโอเมก้า-3 ปริมาณ 1 กรัมต่อวัน
ผลิตภัณฑ์แนะนำ
ไบโอ อีเอฟเอ วิธ ซีแอลเอ Bio EFA with CLA : กรดไขมันจำเป็น น้ำมันปลา, น้ำมันดอกคำฝอย, น้ำมันแฟล็กซ์, น้ำมันเมล็ดบอราจ